
นี้ได้รับในขณะที่ ความรุนแรงของโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ที่เรียกว่า “แลมบ์ดา” (ก่อนหน้านี้เรียกว่า ค.37) ถูกค้นพบครั้งแรกในเปรู นับตั้งแต่สิ้นปี 2020 ได้ส่งผลกระทบไปกว่า 30 ประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาใต้
และเมื่อไม่นานมานี้G2GBET องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาประกาศให้แลมบ์ดาเป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจเฝ้าระวัง หรือที่เรียกว่า Variant of Interest (VOI) ลำดับที่ 7
ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีวSLOTXOวิทยาระดับโมเลกุล ในกรุงลิมา ประเทศเปรู พบว่าการระบาดในช่วงแรกๆ แลมบ์ดาสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว อัตราการติดเชื้อในตัวอย่างที่เก็บในประเทศเปรูซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ เพิ่มจาก 50% เมื่อเดือนมีนาคม เป็น 80% ในช่วงเดือน ก.ค. แสดงให้เห็นว่าอัตราการแพร่เชื้อของสายพันธุ์นี้ค่อนข้างสูงกว่าไวรัสตัวอื่น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังเร่งศึกษาถึงอันตรายที่อาจมีต่อมนุษย์และผลกระทบต่อการแพร่ระบาดในอนาคต
การค้นพบของทีมนักวิจัยญี่ปุ่น PGSLOTสอดคล้องกับหลายประเทศที่เฝ้าระวังไวรัสกลายพันธุ์ที่ชื่อแลมบ์ดามาก่อนหน้านี้พอสมควร มหาวิทยาลัยชิลี ได้ทำการวิจัยศึกษาผลกระทบของสายพันธุ์แลมบ์ดาต่อการติดเชื้อไวรัส โดยใช้ตัวอย่างเลือดจากบุคลากรทางการแพทย์ในท้องถิ่นที่ได้รับวัคซีนครบโดส และพบว่า “แลมบ์ดา” แพร่เชื้อได้มากกว่า แกมมา และ อัลฟา รวมทั้งสามารถหลบหลีกแอนติบอดีที่เกิดจากการฉีดวัคซีนได้ดีกว่าด้วย
ทำให้มีความกังวลว่า ไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดานี้จะทำให้วัคซีนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงกว่าปกติหรือไม่
ราวปลายเดือนมิถุนายน มีการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์แลมบ์ดา ในสหรัฐอเมริกามากกว่า 600 ราย และ 7 รายในอังกฤษ แต่ยังเป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ใช่การติดเชื้อในชุมชน
แม้จะยังไม่พบการติดเชื้อสายพันธุ์แลมบ์ดาในประเทศไทย แต่ก็ดูเหมือนเจ้าเชื้อตัวนี้จะขยับเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซีย ออกแถลงการณ์เตือนเมื่อเร็วๆนี้ว่า ไวรัสโควิดกลายพันธุ์ชนิดนี้เป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าสายพันธุ์เดลตา
ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการศึกษาว่าด้วยไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดาในคลังเอกสารวิชาการออนไลน์ bioXiv โดยระบุว่าสายพันธุ์นี้มีความสามารถในการต้านทานแอนติบอดีจากวัคซีน สูงกว่าไวรัส SARS-CoV-2 แบบดั้งเดิม 3.3 เท่า
Be the first to comment