สิวที่หลัง กับเหงื่อออกเยอะ เกี่ยวกันหรือไม่ มีวิธีรักษาอย่างไร

สิวที่ข้างหลัง หนึ่งในปัญหาที่สร้างความกวนโอ๊ยให้กับชายหนุ่มผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากว่าอยู่ในจุดที่แลเห็นยาก ดูแลตรากตรำ แถมยังมีผลให้ขาดความเชื่อมั่นในตนเองเวลาถอดเสื้ออีกด้วย โดยเฉพาะผู้ที่บริหารร่างกายแล้วเหงื่อไหลไคลย้อยเสมอๆน่าจะมีปัญหาสิวที่หลังอยู่ไม่น้อย ซึ่งหลายคนก็อาจจะสงสัยว่าการที่เหงื่อออกมาก ๆ นั้น มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวที่หลังหรือไม่และอย่างไร วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน พร้อมวิธีดูแลรักษาและป้องกันสิวที่หลังอย่างถูกต้อง

เหงื่อออกมาก ทำให้เกิดสิวที่หลังจริงหรือ ?

เมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีเหงื่อออกมาก ๆ ถ้าหากใส่เสื้อที่คับมากเกินไป ระบายอากาศได้ไม่ดีพอ ก็จะเกิดความมันและอับชื้น เหงื่อและสิ่งสกปรกหมักหมมอยู่ในเสื้อ อุดตันด้วยแบคทีเรีย ทำให้เกิดสิวที่หลังตามมา นอกจากนี้สำหรับในบางคนที่มีอาการแพ้เหงื่อตัวเอง คือทุกครั้งหลังเหงื่อออก จะมีตุ่มน้ำใส ๆ หรือผดผื่นคันขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ข้อพับ ลำคอ ไปจนถึงใบหน้า นั่นอาจไม่ใช่สิว แต่เป็นอาการของโรคแพ้เหงื่อตัวเอง กรณีนี้แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง

แล้วจะป้องกันการเกิดสิวที่หลังยังไงดี ?

สำหรับใครที่ชอบออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ควรอาบน้ำทุกครั้งหลังออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้เหงื่อแห้งเองโดยไม่อาบน้ำ รวมทั้งควรสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวที่หลังได้

นอกจากเหงื่อแล้ว มีอะไรที่ทำให้เป็นสิวที่หลังได้อีก ?

1. กรรมพันธุ์และฮอร์โมน

สิวอาจเกิดขึ้นได้จากกรรมพันธุ์ที่ถูกถ่ายทอดมาจากคนในครอบครัว และอาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น รวมถึงช่วงที่ร่างกายเกิดความเครียด ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และมีภาวะไม่สมดุลกันในร่างกาย โดยฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) จะทำให้เกิดผิวมัน รูขุมขนกว้าง และเป็นสิวได้ง่าย

2. การบริโภคอาหาร

การรับประทานอาหารประเภทของทอดหรือของมันเป็นประจำ รวมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ช็อกโกแลต หรือขนมหวาน ก็เป็นสาเหตุให้ผิวมันมากขึ้น จึงทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวที่หลังได้ง่าย รวมทั้งการบริโภคคาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปังขาว หรือมันฝรั่งทอด มากเกินไป ก็อาจทำให้เป็นสิวได้เช่นกัน เพราะจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง คนที่เป็นสิวจึงควรเลี่ยงหรือลดการบริโภคอาหารดังกล่าว เน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

3. ครีมและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว

ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้กับผิว ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด ครีมทาผิว และน้ำมันนวดผิว ก็สามารถเป็นสาเหตุให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวได้เช่นกัน นอกจากนี้แชมพูและครีมนวดผมก็สามารถทำให้เกิดสิวที่หลังได้ด้วยเช่นกัน หากล้างทำความสะอาดไม่หมดก็จะเกิดการตกค้างอยู่บนผิวหนัง ทำให้เกิดสิวที่หลังตามมาได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา และไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อลดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวที่หลัง ส่วนยาสระผมก็อาจเลือกสูตรที่ปราศจากสารประเภทซิลิโคน

4. เสื้อผ้าที่สวมใส่

เสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลังได้ โดยเฉพาะผ้าเนื้อแข็ง ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียดสีกับแผ่นหลังตลอดเวลา หรือเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดีพอ จนเกิดการอับชื้น เป็นที่สะสมของแบคทีเรีย สิ่งสกปรก และคราบเหงื่อไคล ทำให้รูขุมขนอุดตันจนกลายเป็นสิวที่หลังได้ในที่สุด รวมG2GBETทั้งการใช้ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้าที่มีฤทธิ์รุนแรง ก็อาจทำให้แผ่นหลังระคายเคืองและเกิดสิวได้เช่นกัน

5. ผ้าปูที่นอนไม่สะอาด

นอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่จะทำให้เกิดสิวที่หลังแล้ว ผ้าปูที่นอนและหมอนที่สกปรกก็สามารถทำให้เกิดสิวที่หลังได้เช่นกัน โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ชอบถอดเสื้อนอน เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นเปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานจะเป็นที่สะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกได้

6. น้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว

ในร่างกายของเราทุกคนมีต่อมน้ำมันอยู่ภายใต้รูขุมขน ผลิตขน ผลิตน้ำมัน ที่เรียกว่า ซีบัม (Sebum) ออกมาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมและผิวหนัง แต่ถ้าน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขนก็จะทำให้เกิดสิว และมีอาการแดง บวม หรือเป็นหนองนั่นเอง โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการขัดทำความสะอาดผิวและรูขุมขนด้วยสครับสูตรอ่อนโยน โดยแนะนำให้ใช้สครับเนื้อเนียนละเอียดและไม่บาดผิว

สิวที่หลัง มีวิธีรักษาอย่างไร

เมื่อเกิดสิวขึ้นที่หลังแล้วก็ต้องทำการรักษา โดยให้ทำความสะอาดบริเวณที่เป็นสิวอย่างอ่อนโยน อาจใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหรือยาทาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ กรดซาลิไซลิก รีซอร์ซินอล หรือกำมะถัน รวมทั้งยังไม่สมควรแกะหรือบีบสิวเนื่องจากว่าอาจจะทำให้เป็นแผลเป็นหรือมีการติดเชื้อโรคได้ หากอาการออกจะหนักหรือรักษาโดยใช้ตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ก็ควรจะไปพบหมอผิวหนังเพื่อกระทำรักษาถัดไป

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*