วิธีเลี้ยงลูกให้ “อีคิวสูง” มีความฉลาดทางอารมณ์ มีความสุขในชีวิต

ผู้ที่มี ความฉลาดทางอารมณ์สูง” จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจตัวเองดี ทราบจุดแข็งจุดอ่อนแล้วก็มีความเข้าใจสำหรับการควบคุมรวมทั้งจัดแจงกับอารมณ์ตนได้ สามารถสำหรับเพื่อการปรับแก้ข้อขัดข้อง มองโลกในแง่ดีสามารถดึงดูดใจและก็ให้กำลังใจตัวเองทำจุดหมายในชีวิตที่วางไว้ได้เสร็จ

E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเอง รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้กระแสอีคิวกำลังมาแรงซึ่งอาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น

1. ให้ความรัก
เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ต่อลูกได้เป็นอย่างดี

2. ครอบครัวมีสุข
การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งXOSLOTบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน

  • อย่างไรก็ดี คุณหมอได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่เรื่องนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า “เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ” ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่าเรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก่อนจะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้

3. รู้ และ เข้าใจพัฒนาการของลูก
จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน

  • ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศัพท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูกเกือบร้อยทั้งร้อยเมื่อลูกรู้คงต้องโกรธเป็นอย่างมากเพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัวดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วยจะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม

4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด
ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น

5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
เมื่อลูกประพฤติดี หรือบรรลุผลสำเร็จ คุณพ่อกับคุณแม่จำต้องดู เมื่อลูกหดหู่ ก็ควรจะให้กำลังใจ ซึ่งบางบุคคลพูดว่าดูมากมายประเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่ว่าการดูไม่ให้เหลิงเป็นการดูอย่างแม่นยำ มีเหตุผล โน่นจะช่วยทำให้เด็กมีความภาคภูมิในตนเอง เกิดเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมากมาย

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*