บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา

ระเทศไทยตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ PGSLOTB.1.617.1 และ B.1.617.2 ของอินเดีย 2 ตัวในสถานกักกันการเดินทางทั่วประเทศ แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นในระดับชุมชน บทเรียนที่น่ากลัวอย่างหนึ่งจากอินเดียคือการนำผู้คนมารวมกัน ไม่ควรมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 400,000 รายในแต่ละวัน

วันที่ 10 พ.ค. 64 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รายงานพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพบจากหญิงไทยที่เดินทางมาจากปากีสถาน และกักตัวอยู่ใน State QuarantineXO SLOT ซึ่งรายงานว่าเป็นสายพันธุ์ B.1.617.1 อย่างไรก็ดี ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ก็รายงานพบเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย แต่เป็นตัว B.1.617.2 จากตัวอย่างที่ส่งมาตรวจ

โควิดสายพันธุ์อินเดีย กับ โควิดสายพันธุ์เบงกอล มีความแตกต่างกันตรงตำแหน่งที่กลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียตื่นตัวกับการค้นหารหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่มาก โดยแลกเปลี่ยนผลวิเคราะห์ขึ้นทวิตเตอร์ เกิดเป็นข้อมูลที่บุคคลทั่วไปก็ติดตามเข้าถึงได้ ซึ่งโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 นี้ ได้กลายพันธุ์เป็น 3G2GBET สายพันธุ์ย่อยแล้ว มีชื่อว่า B1, B.1.617.1, B.1.617.2, B.1.617.3 (พบการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง) แตกต่างจากสายพันธุ์เบงกอลที่มีชื่อว่า B.1618 (พบการกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่ง) ชื่อที่ตั้งบ่งบอกถึงตำแหน่งที่กลายพันธุ์ แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความรุนแรงอย่างชัดเจน

  • ไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.1 กลายพันธุ์ตำแหน่งที่ E484Q แต่ขาด N501Y
  • ไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ไม่พบกลายพันธุ์ตำแหน่งที่ E484Q แต่ขาด N501Y
  • ไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.3 กลายพันธุ์ตำแหน่งที่ E484Q
  • ไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย-เบงกอล B.1.618 มีการกลายพันธุ์ถึง 3 ตำแหน่ง คือ S145-, S146-, S484K และ S614G

โควิดสายพันธุ์อินเดียอันตรายแค่ไหน

องค์การอนามัยโลก (WHO) พิจารณาให้โควิดสายพันธุ์อินเดียเฉพาะ B.1.617.1 จัดเป็นการกลายพันธุ์ระดับเพียงควรเฝ้าระวัง (Variant of Interest : VOI)

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี อธิบายข้อมูลโควิดสายพันธุ์อินเดียว่า B.1.617 มาจากตระกูล G (GISAID Clade) ระบาดตั้งแต่ปี 2563 และผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาพบว่าไวรัสสายพันธุ์อินเดียอาจไม่ร้ายกาจหรือสร้างปัญหาเท่ากับสายพันธุ์แอฟริกาใต้ บราซิล และอังกฤษ พบการระบาดต่ำๆ จำกัดวง และอาจไม่สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายเหมือนกับสายพันธุ์เคนต์ B.1.1.7 ที่กำลังระบาดในอังกฤษและหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แต่สิ่งที่เราต้องเฝ้าระวัง รอดูข้อมูลกันต่อไป คือ

1. ไวรัสสายพันธุ์อินเดียแพร่กระจายได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่
2. ก่อให้เกิดอาการของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่ (เช่น การรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น หรือมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น)
3. ปฏิกิริยา Neutralization ในห้องปฏิบัติการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แอนติบอดีที่สร้างขึ้นในระหว่างการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีนครั้งก่อนยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในหลอดทดลองได้ลดลง
4. เมื่อติดเชื้อโควิดจากสายพันธุ์อินเดียแล้ว ยาเดิมที่ใช้รักษาสายพันธุ์ก่อนหน้าจะยังมีประสิทธิภาพหรือไม่
5. การกลายพันธุ์ของโควิดสายพันธุ์อินเดียจะทำให้ตรวจไม่พบเชื้อในขั้นตอน PCR หรือไม่

E484Q และ L452R เป็นตำแหน่งการกลายพันธุ์บนสายพันธุกรรมของไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.1 เป็นที่สนใจมาก เพราะตำแหน่งที่กลายพันธุ์เกิดบริเวณส่วนคำสั่งสร้างโปรตีนหนามบนเปลือกนอกของไวรัส (Spike) แต่ไม่มีหลักฐานว่าเจ้าไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.1 ทำให้การฉีดวัคซีนไม่ได้ผล หรือหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 

บทเรียนจากอินเดีย ควบคุมโควิด-19 ไม่อยู่

บทเรียนจากอินเดียทำให้เราเห็นว่า พฤติกรรมชุมนุมในเทศกาล ไม่เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้เชื้อระบาด มีผู้ติดโควิดกว่า 400,000 คนต่อวัน ทั้งที่พบเชื้อสายพันธุ์ใหม่ B.1.617.1 ระบาดมาตั้งแต่ปี 2563 ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ฉีดวัคซีน และลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการสัมผัสของใช้ส่วนตัว ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการป้องกันครั้งนี้

ในความทุกข์ยากของประชาชนอินเดีย ยังมีกลุ่มนักวิจัยจีโนมที่มีความสามารถ ทำให้การสืบค้นการกลายพันธุ์บนข้อมูลรหัสพันธุกรรม ของเชื้อ SARS-CoV-2 พบได้เร็ว อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยทั่วโลก ที่ส่งตัวอย่างเชื้อกว่า 1 ล้านตัวอย่าง ขึ้นบนระบบฐานข้อมูล GISAID Genomic Databank ทำให้นักวิจัยชาติอื่นนำผลไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนป้องกันการระบาดในประเทศของตนได้ทันท่วงที

พบสายพันธุ์โควิดกลายพันธุ์ แล้วต้องวางแผนจัดการอย่างไร

จากในอดีต บางประเทศไม่มีเทคโนโลยีอ่านรหัสสารพันธุกรรม จะต้องส่งตัวอย่างไปต่างประเทศ ปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 ทำให้นักวิจัยและสถาบันต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง และยิ่งทราบรหัสพันธุกรรมเร็วเท่าไร ก็วางแผนจัดการการระบาดได้มีประสิทธิภาพขึ้น

เมื่อถามถึงสายพันธุ์อื่นๆ เช่น แอฟริกาใต้ (บ.1.351) ปริญญาเอก Bashan อธิบายว่าพวกเขาถูกพบในตัวอย่างที่ส่งมาเพื่อวิเคราะห์ เมื่อตรวจพบการติดเชื้อ การกักกันสามารถรักษาให้หายขาดได้ทันเวลา และสามารถกำหนดการฉีดวัคซีนได้ในอนาคต แต่ที่สำคัญเราต้องระวังด้วยสายพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศไม่ให้ไปอยู่ในสังคมของเรา การถอดรหัสยีนในพื้นที่เฉพาะถิ่นทั่วประเทศทุก 2 สัปดาห์โดยใช้ตัวอย่างแบบสุ่ม ระวังนักท่องเที่ยวต่างชาติ

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*