
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีอีกทั้งอาการในระดับกวนประสาทไปจนกระทั่งมีความเสี่ยงต่อการตาย ที่สำคัญหลายๆอาการยังใกล้เคียงกับโรคอื่นจนกระทั่งเกือบจะแยกไม่ออกว่าเป็นลักษณะโรคภูมิแพ้หรือเปล่า
และเมื่อไม่นานมานี้โลกออนไลน์ก็มีประเด็นน่าสนใจ หลังดาราดัง “ออม สุชาร์” ออกมาเปิดลิสต์อาหารที่แพ้ ถึง 21 รายการ จนเกิดข้อสงสัยว่าแล้วใช้ชีวิตแบบไหนเมื่้อแพ้เยอะขนาดนี้
พาไปเปิดโลก (โรค) ภูมิแพ้ กับ พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ หรือ คุณหมอเชอรี่ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช
พญ.สิริรักษ์ กล่าวว่า ในปัจจุบันโรคภูมิแพ้ที่รู้จักกันเยอะที่สุดก็คือ “โรคภูมิแพ้เกี่ยวกับเยื่อบุจมูก” หรือที่เรียกกันว่า “ภูมิแพ้อากาศ” รองลงมาก็คือ “ผิวหนังอักเสบ” จากการเป็นภูมิแพ้ จำพวกผื่นต่างๆ ต่อมาก็คือ “โรคหอบหืด” ที่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการของโรคภูมิแพ้เหมือนกัน และสุดท้ายคือ “ภูมิแพ้อาหาร” ซึ่งคนปัจจุบันเป็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่าในด้านอุบัติการณ์ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด
อย่างในกรณีของดาราสาวก็เป็น “ภูมิแพ้อาหาร” ซึ่งในช่วง 10-20 ปีมานี้ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างมาก มีความเสี่ยงหลายๆ อย่างเพิ่มเข้ามา ทำให้คนมีอาการแพ้อาหารกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อายุน้อยที่เป็นภูมิแพ้อาหารกันมากขึ้น อายุน้อยในที่นี้คือเป็นได้ตั้งแต่เกิด ด้วย “กรรมพันธุ์” เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ สัมพันธ์ไปกับการสัมผัสสิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ควบคู่ไปด้วย
กล่าวคือ สมมติว่ามีพ่อแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว หรือมีประวัติการแพ้ยาก็เพิ่มความเสี่ยงจะเป็นภูมิแพ้มาในสายพันธุกรรม หากมีความรุนแรงมากก็อาจจะมีอาการแพ้แสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ทว่าหากไม่ได้รุนแรงมากก็อาจจะต้องรอให้มีการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้แล้วถึงจะแสดงอาการในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อายุ 14 ปีขึ้นไปที่จะมีเรื่องของการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ความสมบูรณ์ของการติดเชื้อ ความสมบูรณ์ของภูมิคุ้มกันของร่างกายประกอบร่วมด้วย ทำให้เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้อาหารขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากในวัยเด็ก
ด้วยเหตุนี้จึงพอจะอธิบายได้ว่า “หลายคนใช้ชีวิตมาตั้งนาน กินสิ่งนี้มาตลอดไม่เคยแพ้ ทำไมเพิ่งจะมาแพ้เอาตอนนี้”
3 ขั้นตอนป้องกันโรคภูมิแพ้
เอาเป็นว่าใดๆ ก็ตาม การ “ไม่แพ้” ดีที่สุด แต่เพื่อการนั้นก็ต้องเริ่มจากการป้องกัน ซึ่ง พญ.สิริรักษ์ แนะนำการป้องกันโรคภูมิแพ้ (Allergy Prevention) ไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.ป้องกันตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่ ช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร คุณแม่ต้องดูแลตัวเองโดยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องG2GBETงดอาหารกลุ่มเสี่ยงอะไร การกินอาหารให้หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพ้อาหารในเด็ก ขณะเดียวกันขณะให้นมบุตร คุณแม่ควรเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น กลัวที่จะแพ้อากาศก็ควรเลี่ยงที่จะสัมผัสกับฝุ่น ขนสัตว์ และควันบุหรี่ เพราะพบว่าการใกล้ชิดกับคนสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงภูมิแพ้ในเด็กเมื่อโตขึ้น ในด้านอื่นๆ ก็มีการศึกษาว่าการคลอดบุตรโดยการผ่าคลอดมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงภูมิแพ้มากกว่าคลอดธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมาก แนะนำให้กินนมแม่อย่างน้อย 4-6 เดือนเป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้เด็ก
2.เมื่อทราบแล้วว่าแพ้อะไร ผ่านการตรวจสกินเทสต์หรือตรวจเลือดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือหลีกเลี่้ยงของที่แพ้ เพื่อไม่ให้อาการกำเริบและรุนแรงขึ้น
3.เป็นโรคขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้อากาศ หรือเป็นโรคหอบหืด ก็ต้องใช้ยาให้เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
อย่างไรก็ตาม หมอเชอรี่ ทิ้งท้ายว่า หากมีอาการไม่พึงประสงค์ แล้วเกิดความสงสัยว่าอาจจะเป็นภูมิแพ้หรือไม่ แนะนำให้มาตรวจภูมิแพ้ดีกว่าการที่จะหลีกเลี่ยงเอง ทั้งนี้ปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีวิธีรักษาด้วยการฉีดวัคซีนรักษาภูมิแพ้ (Immunotherapy) ซึ่งมีการเริ่มใช้ในประเทศไทยมาพอควรแล้ว เป็นแนวทางเดียวรักษาภูมิแพ้ให้หายสนิทได้ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไป โดยเป็นการรักษาแบบสม่ำเสมอ ฉีดทุก 1 เดือน ขั้นต่ำ 3-5 ปี